GDP คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product) เป็นตัวเลขที่แสดงมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่ผลิตขึ้นในประเทศภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1 ไตรมาส และ 1 ปี โดยไม่สนว่าจะใช้ทรัพยากรจากชาติใดเป็นผู้ผลิตสินค้าหรือบริการดังกล่าว ถ้าหากสินค้าหรือบริการนั้นผลิตขึ้นภายในประเทศใดก็จะนับว่าเป็นมูลค่า GDP ของประเทศนั้น
Gross Domestic Product หรือ GDP คือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ใช้สำหรับการบอกมูลค่าเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน อีกทั้งยังใช้ในการเปรียบเทียบกับ GDP ในอีกช่วงเวลาหนึ่งเพื่อใช้บอกการเติบโตหรือการหดตัวของเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับอีกช่วงเวลา เช่น การเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือการเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
มูลค่า GDP (Gross Domestic Product) จะคำนวณมาจากมูลค่าของ 4 ส่วน ได้แก่ การบริโภค (Consumption), การลงทุน (Investment), การใช้จ่ายภาครัฐ (Government) และรายได้จากการค้าระหว่างประเทศ (Net Export) หรือเขียนเป็นสมการก็คือ GDP = C+I+G+(X-M)
ปัจจุบันสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำและเผยแพร่ข้อมูล GDP ของประเทศไทยทั้งในรายไตรมาสและรายปี
สรุป GDP คือสิ่งที่ใช้ในการบอกมูลค่าของการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยคำนวณมาจากการใช้จ่ายในทุกภาคส่วนของประเทศ ซึ่งได้แก่ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และรัฐบาล การที่มูลค่า GDP เพิ่มขึ้นหรือลดลงก็คือผลจากการที่การใช้จ่ายเหล่านี้เพิ่มขึ้นหรือลดลง ทำให้ GDP ถูกใช้เป็นตัวเลขในการสะท้อนการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในขณะนั้น
GDP คำนวณมาจากอะไร
GDP คือ ตัวเลขที่คำนวณมาจาก 4 ส่วน ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน (Consumption), การลงทุนของภาคเอกชน (Investment), การใช้จ่ายและลงทุนของรัฐบาล (Government) และการส่งออกสุทธิ (Net Export หรือ Export – Import) โดยวิธีคำนวณ GDP วิธีนี้เรียกว่า วิธีการวัดรายจ่าย (Expenditure Approach) ที่รู้จักกันในสมการ GDP = Consumption + Investment + Government + (Exports – Imports) หรือ GDP = C+I+G+(X-M)
ในทางกลับกันการใช้จ่ายที่ไม่รวมอยู่ใน GDP คือ การซื้อสินค้ามือสองที่ไม่ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนมือเจ้าของ และการลงทุนทางการเงินเพราะเป็นเพียงการย้ายเงินจากตราสารทางการเงินหนึ่งไปยังอีกตราสารทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเลข GDP คือมูลค่าของเศรษฐกิจทั้งประเทศ แต่ตัวเลข GDP ยังคงมีช่องโหว่ที่เกิดจากการที่ไม่สามารถจัดเก็บข้อมูลบางอย่างได้ ทำให้รายได้บางส่วนไม่รวมอยู่ในมูลค่า GDP สำหรับการใช้จ่ายที่ไม่รวมอยู่ใน GDP ได้แก่
- รายได้ของคนในประเทศที่เกิดนอกประเทศ เช่น การที่ชาวไทยไปเปิดบริษัทอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งกรณีจะนับอยู่ใน GNP (Gross National Product)
- การซื้อขายนอกตลาดที่ซื้อขายกันด้วยเงินสด
- สินค้าผิดกฎหมาย เงินจากการพนัน และสินค้าเลี่ยงภาษี ที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้
Consumption คือ มูลค่าจากการบริโภคภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป เป็นตัวเลขของการใช้จ่ายทั่วไปของภาคเอกชนและบุคคลทั่วไปเกือบทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในประเทศ แต่ Consumption จะไม่รวมถึงการซื้อที่อยู่อาศัยหลังใหม่ ซึ่งตามปกติจะมีสัดส่วนประมาณ 65% หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของมูลค่า GDP ดังนั้นยิ่งการใช้จ่ายจาก Consumption สูงยิ่งหมายความว่าประชาชนมีเงินใช้ และในทางกลับกันถ้าหากการใช้จ่ายส่วนนี้ลดลงหรือชะลอตัว ก็จะสะท้อนถึงการไม่อยากใช้เงินหรือไม่มีเงินใช้ของคนในประเทศ
Investment คือ มูลค่าการลงทุนของภาคเอกชนในสินค้าทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร เงินเดือนของพนักงาน การซื้อซอฟแวร์ของบริษัท นอกจากนี้ การซื้อบ้านหลังใหม่ของบุคคลทั่วไปก็จะรวมอยู่ใน Investment
Government Spending คือ มูลค่าการใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย เงินเดือนราชการ และค่าใช้จ่ายในการลงทุนของรัฐบาล แต่ไม่รวมถึงรายจ่ายประเภทโอนเงินของรัฐบาล อย่างเช่น สวัสดิการสังคม และผลประโยชน์การว่างงาน
Export – Import หรือ Net Export คือ มูลค่าการส่งออกสุทธิ มาจากมูลค่าการส่งออกลบด้วยมูลค่าการนำเข้า (Export – Import) เรียกว่าดุลการค้า (Trade Balance) โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ เกินดุลการค้า (ส่งออกมากกว่านำเข้า) และ ขาดดุลการค้า (นำเข้ามากกว่าส่งออก)
อัตราการเติบโต GDP
มูลค่า GDP ตามปกติจะมีหน่วยเป็นสกุลเงินของแต่ละประเทศ (และมักจะถูกประกาศออกมาควบคู่กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) อย่างประเทศไทยก็จะมีหน่วยเป็นบาท ดังนั้น ถ้าหากบอกว่าปี 2564 มูลค่า GDP ไทย คือ 60 ล้านล้านบาท แปลว่ามูลค่าเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ (เท่าที่วัดได้) ในปี 2563 ตลอดทั้งปีคือ 60 ล้านล้านบาทนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณอ่านข่าวเศรษฐกิจที่พูดถึงตัวเลข GDP คุณอาจจะได้เห็นประโยคในลักษณะ “ไตรมาสที่ 2 เศรษฐกิจไทยหดตัว 5% จากไตรมาสที่แล้ว” ซึ่งประโยคในลักษณะนี้คือการเติบโตหรือหดตัวของ GDP เมื่อเทียบกับช่วงเวลาหนึ่ง จากตัวอย่างจะหมายความว่ามูลค่า GDP ของประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 มีหดตัว 10% จากไตรมาสที่แล้ว (ไตรมาสที่ 1)
โดยตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่เห็นในตัวเลข GDP เราจะเรียกว่า GDP Growth หรือ อัตราการเติบโตของ GDP ซึ่งตัวเลข GDP Growth ที่พบได้บ่อยจะมีอยู่ 2 กรณี คือ
- YoY ย่อมาจาก Year on Year (อเมริกันเรียกว่า Year over Year) เป็นการเปรียบเทียบการเติบโตของ GDP ปัจจุบันกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
- QoQ หรือ Quarter on Quarter (อเมริกันเรียกว่า Quarter over Quarter) เป็นการเทียบ GDP ไตรมาสปัจจุบันกับไตรมาสก่อนหน้า
การเติบโตของ GDP เป็นบวก หมายความว่า มูลค่า GDP เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าที่เรานำตัวเลข GDP ปัจจุบันไปเปรียบเทียบ อธิบายให้ง่ายกว่านั้นก็คือ เศรษฐกิจมีการเติบโตจากช่วงเวลาก่อนหน้าที่ทำการเปรียบเทียบด้วย หรืออาจพูดได้ว่าเศรษฐกิจดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้า
การเติบโตของ GDP ติดลบ หมายความว่า มูลค่า GDP ลดลงจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เป็นผลมาจากการใช้จ่ายในประเทศที่ลดลงจากการที่คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังซื้อ หรือชะลอการใช้จ่ายจากความไม่แน่นอนบางอย่าง
GDP per Capita คืออะไร?
GDP Per Capita คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว หรือ GDP ต่อหัว ที่ใช้บอกค่าเฉลี่ยของ GDP เพื่อบอกว่าโดยเฉลี่ยประชากร 1 คนสามารถสร้างมูลค่า GDP ได้เท่าไหร่ คำนวณมาจาก GDP ÷ จำนวนประชากร
ถ้าหาก GDP สหรัฐอเมริกาคือ 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีประชากร 300 ล้านคน GDP per Capita ก็จะเท่ากับ 66,667 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน หรือโดยเฉลี่ยประชากร 1 สหรัฐคนทำให้เกิด GDP 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม GDP per capita มีข้อจำกัดที่สำคัญคือการที่ GDP per capita คือค่าเฉลี่ยทำให้ในกรณีที่ GDP per capita คำนวณมาจากประชากรที่มีรายได้แตกต่างกันเกินไป ผลที่ได้ก็จะออกมาขัดกับความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น ประเทศ A มีประชากร 10 คน และมีรายได้ดังนี้: 100,000 / 100,000,000 / 200,000 / 500,000 / 1,000,000,000 / 550,000 / 100,000 / 100,000 / 200,000 / 150,000
GDP per capita ของประเทศ A ที่มีประชากรแค่ 10 คนจะเท่ากับ 110,190,000 ต่อปีต่อคน ซึ่งจะเห็นว่า GDP per capita ออกมาสูงถึงร้อยล้าน ทั้งที่ในความเป็นจริงอีก 8 คนมีรายได้ไม่ถึงล้าน จากตัวอย่างจะเห็นว่าสิ่งที่ GDP ต่อหัว หรือ GDP per capita ทำได้คือการวัดการกระจายรายได้ประกอบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่นๆ
ติดตาม GDP ได้จากไหน?
สำหรับการติดตามตัวเลข GDP ที่แต่ละประเทศประกาศออกมา จะสามารถติดตามได้จากสำนักงานสถิติของแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไหน หน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำตัวเลข GDP
- GDP ประเทศไทย รับผิดชอบโดย สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
- GDP สหรัฐอเมริกา รับผิดชอบโดย สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (Bureau of Economic Analysis : BEA)
- GDP อังกฤษ รับผิดชอบโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (Office for National Statistics)
นอกจากนี้ ตัวเลข GDP ที่ประกาศออกมาในแต่ละไตรมาสอาจจะประกาศออกมามากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกสุดของแต่ละไตรมาสมักจะเป็นตัวเลขประมาณการ (Estimate) ก่อนที่จะประกาศตัวเลข GDP ที่สมบูรณ์ตามมาในหลังจากการประกาศตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 หรือ 3 ทั้งหมดคือเหตุผลว่าทำไม GDP ไตรมาสเดียวกันบางครั้งประกาศออกมามากกว่า 1 ครั้ง
Key Takeaways
- GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ คิดค้นโดย Simon Kuznets ในปี 1934 โดยตัวเลข GDP จะคำนวณมาจากสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
- GDP คำนวณมาจาก 4 ส่วน ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน (Consumption), การลงทุนในสินค้าทุน (Investment), การใช้จ่ายภาครัฐ (Government Spending) และ การส่งออกสุทธิ (Net Export)
- มูลค่า GDP คือ ตัวเลขที่ใช้แทนมูลค่าเศรษฐกิจของทั้งประเทศ และใช้ในการภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลานั้นๆ โดยปัจจุบัน GDP ยังคงเป็นตัวเลขที่ใช้ในการวัดขนาดเศรษฐกิจที่แพร่หลายที่สุด