Search for Yield คืออะไร?
Search for Yield คือ พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนของนักลงทุน โดยนักลงทุนจะเคลื่อนย้ายเงินลงทุนเข้าไปในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เมื่อการลงทุนที่มีความความเสี่ยงต่ำอย่างเช่นพันธบัตรรัฐบาลในช่วงเวลาดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่ต่ำและไม่น่าลงทุนอีกต่อไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่การลงทุนบางอย่างให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ติดลบ หรืออัตราผลตอบแทนที่ได้รับไม่คุ้มกับอัตราเงินเฟ้อ ณ ปัจจุบันและอนาคต นักลงทุนก็จะมีพฤติกรรม Search for Yield ในการย้ายเงินลงทุนเข้าไปในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพื่อหาผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นกลับมาทดแทนให้ Real Yield เป็นบวก
พฤติกรรม Search for Yield คือ สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยกับตลาดพันธบัตรรัฐบาลและตลาดหุ้น ในภาวะปกติที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงนักลงทุนจะลงทุนให้สินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนที่สูงตามอัตราดอกเบี้ย แต่เมื่อดอกเบี้ยนโยบายลดลงจนการลงทุนความเสี่ยงต่ำให้ผลตอบแทนลดลง นักลงทุนก็จะย้ายเงินไปลงทุนในการลงทุนที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อหาผลตอบแทนที่มากขึ้น อย่างเช่น หุ้น
พฤติกรรม Search for Yield จึงเป็นอีกตัวแปรที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายกับการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุน
สำหรับสาเหตุที่ทำให้พฤติกรรม Search for Yield ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์อย่างมาก เป็นผลมาจากการที่นักลงทุนที่มีพฤติกรรม Search for Yield ไม่ได้มีเพียงนักลงทุนที่เป็นรายย่อย แต่ในตลาดยังมีผู้เล่นอื่นอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น
- นักลงทุนที่กู้เงินมาลงทุน (Margin) ถ้ากู้ดอกเบี้ย 1% ก็ต้องหาผลตอบแทนให้ได้มากกว่า 1%
- นักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ที่ต้องหาผลตอบแทนชดเชยส่วนที่หายไป
- นักลงทุนทั่วไปที่ต้องการผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ
- การลงทุนของประกันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนบำเหน็ดบำนาญ กองทุนประกันสังคม และกองทุนของบริษัทประกันทั่วไป
กลไกพฤติกรรม Search for Yield
ในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะขยายตัวและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับปกติ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) จะอยู่ในระดับสูงเพื่อควบคุมไม่ให้มีสภาพคล่องในระบบมากเกินไปจนนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อในระดับที่สูงเกินไป แต่ในภาวะเศรษฐกิจซบเซาธนาคารกลางจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Easy Monetary Policy) เพื่อกระตุ้นการลงทุน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในระดับที่ต่ำ
เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่ต่ำ การลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ อย่างเช่น การฝากเงินและพันธบัตรรัฐบาล ก็จะให้อัตราผลตอบแทนที่ต่ำตาม ผลตอบแทนที่ต่ำจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำนี้เองจะกระตุ้นให้นักลงทุนเกิดพฤติกรรม Search for Yield ในการแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น
ถ้าหากปัจจุบันหุ้นให้ปันผล 4% ต่อปี ในขณะที่ Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่ 3% ต่อปี ก็จะส่งผลให้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำเลือกลงทุนในพันธบัตร และนักลงทุนที่รับความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้อีกนิดจะเลือกลงทุนในหุ้นปันผล
แต่ถ้าหาก Bond Yield ลดลงเหลือ 2.5% ในขณะที่หุ้นให้ปันผล 4% เท่าเดิม ช่องว่างของผลตอบแทน (Earning Yield Gap) จากการลงทุนทั้ง 2 ชนิดกว้างขึ้น ก็จะยิ่งทำให้นักลงทุนเลือกที่จะรับความเสี่ยงสูงขึ้นอีกระดับเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
Search for Yield ตามปกติจะทำให้นักลงทุนย้ายเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน และหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับถัดไปจากพันธบัตร ในเบื้องต้นเราอาจเรียงลำดับความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่นักลงทุนจะย้ายเงินเข้าไปเพราะพฤติกรรม Search for Yield ได้ดังนี้
- ตราสารหนี้ภาคเอกชน (หุ้นกู้)
- อสังหาริมทรัพย์
- สินค้าโภคภัณฑ์
- หุ้นในประเทศ
- หุ้นต่างประเทศ
- Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ
Search for Yield นอกจากจะส่งผลต่อพฤติกรรมการเคลื่อนย้ายเงินของนักลงทุน แต่พฤติกรรม Searching for Yield ยังสามารถส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึง Real Sector (ภาคธุรกิจจริง) ได้ด้วยเช่นกัน ผลกระทบหลักที่ Real Sector ได้รับจาก Search for Yield คือต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities Goods) เพิ่มสูงขึ้น ตามเงินลงทุนที่ย้ายเข้ามาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นต้นทุนการผลิต เช่น ทองคำ น้ำมัน เหล็ก ทองแดง และสินค้าเกษตรอื่นๆ
ข้อมูลอ้างอิงจาก GreedisGoods และ Reserve Bank of Australia