Reflation คือ ภาวะที่เงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากที่ช่วงก่อนหน้าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอย โดย Reflation เป็นผลมาจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหรือธนาคารกลางในการเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย
ภาวะ Reflation เป็นระยะแรกที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวหลังจากที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอย (Recession) หรือในอีกความหมาย Reflation คือ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการกระตุ้นเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะ Deflation หรือภาวะเงินฝืด อย่างเช่น การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบด้วยมาตรการ QE และมาตรการแจกเงินช่วยเหลือของรัฐบาล
เมื่อสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจก็จะเพิ่มขึ้นตามและส่งผลให้ระดับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะกระตุ้นตัวเลขเงินเฟ้อให้เข้าหาตัวเลขในระดับภาวะปกติ
Reflation มาจากคำว่า Re (กลับมา/เริ่มต้นอีกครั้ง) + Inflation (เงินเฟ้อ)
สำหรับความแตกต่างระหว่าง Inflation (เงินเฟ้อ) ในภาวะเศรษฐกิจปกติกับ Reflation คือ การที่ภาวะ Reflation เป็นการเติบโตผ่านการกระตุ้นด้วยมาตรการต่าง ๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้อยู่ในช่วงภาวะ Deflation (เงินฝืด) ในขณะที่ Inflation หรือภาวะเงินเฟ้อตามปกติจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโตจนทำให้ระดับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้น
Reflation เกิดจากอะไร
กลไกหลักของการกระตุ้นให้เกิดภาวะ Reflation คือ การทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้นและลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ระดับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและนำไปสู่ตัวเลขเงินเฟ้อ (Inflation) ที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
วิธีที่ทำให้เกิด Reflation ที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่
- การลดภาษี เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและเงินในมือของประชาชนและภาคธุรกิจ
- การเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบด้วยการทำ Quantitative Easing หรือ QE
- การลงทุนของรัฐบาลในโปรเจคต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการจ้างงานและกระตุ้นเงินให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
- การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดต้นทุนในการกู้ยืมของธุรกิจ
Reflation ยังใช้ในการเรียกนโยบายการเงิน (Monetary Policy) ที่ใช้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอยู่ในภาวะเงินฝืด (Deflation) ให้กลับมาเป็นขาขึ้นและเงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
เนื่องจาก Reflation คือ ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นด้วยการเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เมื่อปริมาณเงินมหาศาลถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ลดลง จากการที่ถูกธนาคารกลางเข้าซื้อผ่านการทำ QE ก็จะทำให้ราคาของสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นตาม
อย่างที่เราได้เห็นจากการทำ Unlimited QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2020 ในช่วงวิกฤติโควิด ซึ่งส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมดปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา จากการอัดฉีดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบเพื่อทำให้เกิดการใช้จ่ายและกระตุ้นเงินเฟ้อกลับมา
- S&P 500 Index เพิ่มขึ้นจาก 2,500 เป็น 3,900 จุด
- NASDAQ เพิ่มขึ้นจาก 7,000 เป็น 14,000 จุด
- Dow Jones Index เพิ่มขึ้นจาก 20,000 เป็น 32,000 จุด
- ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้นจาก $5,000 เป็น $50,000
- รวมถึงราคาของ Cryptocurrency สกุลอื่น ๆ
- ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ที่ประมาณ $2,000 ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดที่ระดับเงินเฟ้อถึงเป้าหมายและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นกลับเข้าสู่ภาวะปกติ สิ่งที่ธนาคารกลางจะทำต่อไปคือการควบคุมระดับเงินเฟ้อ (Inflation Rate) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่สูงจนเกินไป ด้วยการการหยุดอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ และค่อย ๆ ดึงออกจากระบบ
ส่งผลให้สภาพคล่องที่เคยเพิ่มเข้ามาจะค่อย ๆ หายไป นั่นหมายความว่าราคาของสินทรัพย์เสี่ยงเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงตามเงินที่ถูกดึงออกจากระบบ เมื่อถึงตอนนั้นราคาของสินทรัพย์โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่ราคาเพิ่มขึ้นเพียงเพราะเงินมหาศาลจากการอัดฉีดไหลเข้าไปในขณะที่ไม่ได้อยู่ในระดับราคาที่สมเหตุสมผลก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลอ้างอิงจาก Investopedia และ GreedisGoods