เงินบาทแข็งค่า คือ การที่ปัจจุบันมูลค่าของเงินบาทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเงินอีกสกุลเงินหนึ่งในช่วงเวลาก่อนหน้า เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้เงินบาทจำนวนเท่าเดิมสามารถแลกเงินอีกสกุลได้มากขึ้น หรือในทางกลับกันก็คือจะทำให้ใช้เงินบาทจำนวนน้อยลงในการซื้อเงินสกุลต่างประเทศจำนวนเท่าเดิม
ตัวอย่างเช่น เมื่อวานวันที่ 1 มกราคมต้องใช้เงินบาท 34 บาทในการแลกเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันวันที่ 2 มกราคมใช้เงินแค่ 33 บาทก็สามารถแลกเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐได้แล้ว
จากตัวอย่างจะเห็นว่าปัจจุบัน เงินบาทแข็งค่า เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ (ในมุมมองกลับกันก็คือการที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาทของไทย)
ค่าเงินบาทแข็งค่า คือ สิ่งที่สามารถเทียบได้กับการที่สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบสกุลเงินเป็นสินค้าชนิดหนึ่งและมองอัตราแลกเปลี่ยนเป็นราคาของสินค้า การที่ต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นพื่อแลกเงินบาทเท่าเดิม นั่นก็คือการที่เงินบาทแพงขึ้น (เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ)

เงินบาทแข็งค่าเกิดจากอะไร
เงินบาทแข็งค่า และ ค่าเงินแข็ง (Currency Appreciation) คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่เงินสกุลนั้น ๆ เป็นที่ต้องการมากขึ้น (ต้องการแลกเงินเป็นเงินสกุลบาทหรือสกุลที่กำลังแข็งค่า) ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตามกลไกอุปสงค์ อุปทาน (Demand & Supply) เหมือนกับสินค้าทุกชนิดบนโลกนี้
สาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าและเงินสกุลใดก็ตามแข็งค่า ได้แก่
- เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศ (Fund Flow) เพราะการจะเข้าไปลงทุนในประเทศใด ต้องแลกเงินเป็นเงินสกุลของประเทศนั้นก่อน
- เกินดุลการค้า (ประเทศส่งออกมากกว่านำเข้า) เมื่อต่างชาติซื้อสินค้าจากไทยเงินที่ได้ก็จะเป็นเงินสกุลต่างประเทศ ทำให้ผู้ส่งออกต้องแลกเงินสกุลต่างประเทศกลับเป็นเงินบาทเพื่อใช้ในประเทศไทยต่อไป
- ความเชื่อมั่นในสกุลเงินดังกล่าว ซึ่งทำให้นักลงทุนนำเงินสดที่ถือไว้แลกเป็นเงินสกุลดังกล่าวเป็น Safe Haven เพื่อรอนำไปลงทุน
- การแทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลาง เพื่อทำให้ค่าเงินอยู่ในระดับที่ธนาคารกลางต้องการ
- การที่เงินอีกสกุลเงินหนึ่งอ่อนค่าลงมาก ๆ จนทำให้เงินอีกสกุลแข็งค่าขึ้นไปโดยปริยาย
เงินบาทแข็งค่า คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากความต้องการเงินบาท (Demand) > ปริมาณความต้องการขายเงินบาท (Supply)
เงินบาทแข็งค่า ใครได้ประโยชน์
ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการที่เงินบาทแข็งค่า คือ ใครก็ตามที่ต้องการเปลี่ยนเงินบาทไปเป็นเงินอีกสกุลหนึ่ง ได้แก่ ผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ นักลงทุนที่นำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ และผู้ที่มีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายในต่างประเทศ
เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าผู้นำเข้าวสินค้าจากต่างประเทศ (Importer) จะสามารถซื้อสินค้าด้วยเงินเท่าเดิมได้ในประมาณที่มากขึ้น เช่นเดียวกันกับนักลงทุนจากประเทศไทยที่สามารถใช้เงินจำนวนเท่าเดิมแล้วสามารถซื้อในสินทรัพย์ในต่างประเทศได้มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ฿34 ต่อ $1 บริษัทนำเข้าทองคำจากต่างประเทศต้องใช้เงิน 340,000 เพื่อนำเข้าทองคำมูลค่า $10,000 แต่เมื่อเงินบาทแข็งค่าเป็น ฿33 ต่อ $1 บริษัทจะสามารถนำเข้าทองคำมูลค่า $10,000 บาท ได้โดยที่ใช้เงินเพียง 330,000 บาท เสมือนได้ส่วนลด 1 หมื่นบาทจากอัตราแลกเปลี่ยน
เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผู้ที่มีหนี้สินในต่างประเทศครบกำหนดจ่ายหนี้ จะส่งผลให้ผู้ที่เป็นหนี้ใช้เงินบาทจำนวนน้อยลงในการแลกเป็นเงินสกุลต่างประเทศเพื่อจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้
ตัวอย่างเช่น สายการบินในประเทศไทยกู้เงินจากสหรัฐฯ $10,000 โดย ณ วันที่กู้อัตราแลกเปลี่ยนคือ ฿34 ต่อ $1 ทำให้ได้เงินมาใช้ 340,000 บาท แต่วันครบกำหนดชำระหนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็น ฿33 ต่อ $1 นั่นหมายความว่าสายการบินสามารถจ่ายหนี้ $10,000 ด้วยเงินเพียง 330,000 บาทเท่านั้น (จ่ายน้อยลง 1 หมื่นบาทไม่รวมดอกเบี้ย)
เงินบาทแข็งค่า ใครเสียประโยชน์
ผู้ที่เสียประโยชน์จากการที่เงินบาทแข็งค่า คือ ผู้ที่ต้องแลกเงินสกุลอื่นอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดคือผู้ส่งออกสินค้า (Exporter) จากไทยสู่ต่างประเทศ จากการที่แลกเงินจากการขายสินค้ากลับมาได้น้อยลง และการที่สินค้าส่งออกถูกมองว่าแพงขึ้นจากผู้นำเข้าสินค้าในต่างประเทศ
ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยส่งออกซอสพริกไปขายที่สหรัฐอเมริกาโดยซอสราคาขวดละ 34 บาท ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ ฿34 ต่อ $1 หมายความว่า ผู้นำเข้าจะใช้ 1 ดอลลาร์สหรัฐซื้อซอสพริกได้ 1 ขวดพอดี เมื่อเงินบาทแข็งค่าเป็น ฿33 ต่อ $1 หมายความว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐจะไม่สามารถซื้อซอสพริกจากไทยได้อีกแล้ว เพราะ 1 ดอลลาร์มีค่าแค่ 33 บาท แต่ซอสพริกราคา 34 บาท
การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าจึงทำให้ซอสพริกแพงขึ้น 1 บาทโดยไม่ได้ขึ้นราคา ทางออกของผู้นำเข้าจากสหรัฐฯ ก็อาจจะเลือกนำเข้าซอสพริกจากประเทศอื่นที่ราคาเท่าเดิมหรือถูกกว่า หรือยังคงนำเข้าจากไทยต่อไปแต่ก็ต้องตั้งราคาที่แพงขึ้นเนื่องจากต้นทุนการนำเข้าซอสพริกจากไทยเพิ่มขึ้นเพราะอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ หันไปซื้อซอสพริกแบรนด์อื่นแทน
นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ส่งออกขายสินค้าเป็นเงินสกุลต่างประเทศ เช่นส่งออกซอสพริกไปสหรัฐฯ ราคาขวดละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าขายได้ 10,000 ขวดบริษัทจะได้เงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากตัวอย่างอัตราแลกเปลี่ยนเดิมเมื่อเงินบาทแข็งค่าเป็น ฿33 ต่อ $1 เมื่อผู้ส่งออกต้องการแลกเป็นเงินบาทจะแลกเงินกลับมาได้เพียง 330,000 บาท จากเดิมที่แลกได้ 340,000 บาท (ได้เงินลดลงขวดละ 1 บาท)